12/07/2007

ข่าว เช้านี้

ขายดี-คนแห่ซื้อ ภาพมงคล เสด็จออกมุขเด็จ [7 ธ.ค. 50 - 04:21]
ปวงประชาไทยทั่วหล้าต่างอิ่มเอมใจ มีความสุขและเก็บภาพประวัติศาสตร์ ในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา 5 ธันวาคม 2550 ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท รับการถวายพระพรชัยมงคล รวมทั้งภาพพสกนิกรนับแสนคนที่ต่างพร้อมใจกันใส่เสื้อเหลืองและโบกธงเหลืองสะบัดพลิ้วเป็นริ้วเรียงราย เฝ้ารับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดสองข้างทางถนนตั้งแต่ประตูวังสวนจิตรลดาจนถึงพระบรมมหาราชวัง เอาไว้เป็นความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิต
ขณะที่บรรดาพสกนิกรไทยในต่างจังหวัดที่ไม่สามารถเดินทางมาเข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทได้ ต่างพร้อมใจกันสวมเสื้อเหลืองจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติอย่างยิ่งใหญ่ในแต่ละจังหวัด ภาพปวงชนสวมเสื้อเหลืองสะพรั่งทั้งแผ่นดิน แสดงให้เห็นถึงความจงรักภักดีอย่างหาที่สุดมิได้ของชาวไทยที่มีต่อ “พ่อของแผ่นดิน” ภาพแห่งความปลื้มปีติเหล่านี้ สำนักข่าวต่างประเทศ อาทิ ซีเอ็นเอ็น รอยเตอร์ เอพี ฯลฯ ได้เผยแพร่ไปทั่วโลก โดยได้เทิดทูนยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า เป็นพระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก และตลอดวันที่ 5 ธ.ค. ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาแห่งความสุขที่สุดของชาวไทยทั่วประเทศ
สำหรับพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ได้ปฏิบัติในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษา ในวันที่ 6 ธ.ค.นั้น เป็นพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลเลี้ยงพระเทศน์มงคลวิเศษและพระราชทานฉันแก่พระสงฆ์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง โดยพระสงฆ์ที่มารับพระราชทานฉันในวันนี้ เป็นสมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะจำนวน 86 รูป ซึ่งพระสงฆ์จำนวน 81 รูป เป็นสมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะที่เข้ารับพระราชทานสถาปนาเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์เมื่อวันที่ 5 ธ.ค. ส่วนอีก 5 รูป เป็นสมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะ ที่เจริญพระพุทธมนต์นวคหายุตสมธรรม ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อเย็นวันที่ 5 ธ.ค. เช่นกัน
โดยเมื่อเวลา 10.15 น.วันที่ 6 ธ.ค. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ พร้อมด้วยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าศรีรัศมิ์ พระวรชายาฯ พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้า พัชรกิติยาภา พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ โดยรถยนต์พระที่นั่งจากวังศุโขทัยไปยังพระ บรมมหาราชวัง แล้วเสด็จเข้าสู่ท้องพระโรง หน้าพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน พระราชทานเงินแก่ผู้ทำหน้าที่โหรหลวง บูชาเทพยาดานพเคราะห์ แล้วเสด็จขึ้นพระที่นั่งไพศาลทักษิณ จากนั้นทรงจุดธูปเทียนบูชาพระสยามเทวาธิราช ก่อนเสด็จออกจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ไปเฝ้ารอรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เวลา 10.45 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จพระ ราชดำเนินโดยรถยนต์พระที่นั่ง จากพระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ไปยังพระบรมมหาราชวัง แล้วเสด็จเข้าพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงจุดธูปเทียนบูชาพระพุทธรูป เทวรูปนพเคราะห์ แล้วทรงจุดธูปเทียนเครื่องนมัสการ พระสงฆ์ถวายพระพรจบแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนภัตตาหาร พระสงฆ์รับพระราชทานฉันเสร็จแล้ว ทรงจุดธูปเทียนเครื่องทรงธรรม สมเด็จพระมหาธีรา จารย์ วัดชนะสงคราม ถวายพระธรรมเทศนามงคลวิเศษกัณฑ์ 1 จบแล้ว พระสงฆ์ถวายพระพรชัยมงคลคาถา “ภูมิพลมหาราชวรสฺส ชยมงคลคาถา”
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม เครื่องบูชากัณฑ์เทศน์และทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม แด่สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธานคณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช แล้วทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงประเคนจตุปัจจัยไทยธรรม แด่สมเด็จพระราชาคณะและพระราชาคณะ จนครบ 86 รูป จากนั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงหลั่งทักษิโณทก ทรงกราบที่หน้าเครื่องนมัสการ หน้าพระแท่นนพปฎลมหาเศวตฉัตร แล้วพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯไปประทับรถยนต์พระที่นั่ง เสด็จพระราชดำเนินกลับ
สำหรับพระราชกรณียกิจ ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 7ธ.ค. นั้น เวลา 21.30 น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถพร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารีจะเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรการแสดงบัลเลต์ เทิดพระเกียรติ จากสหพันธรัฐรัสเซีย ที่สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม และกระทรวงการต่างประเทศ จัดขึ้น ณ ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย สำหรับบัลเลต์คณะนี้ เป็นคณะที่เคยแสดงให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทอดพระเนตรเมื่อครั้งเสด็จเยือนสหพันธรัฐรัสเซีย
ขณะเดียวกัน หลังเสร็จสิ้นงานพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 80 พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้มีผู้นำภาพถ่ายในงานพระราชพิธี พิมพ์ออกมาจำหน่าย มีประชาชนไปซื้อหามาเก็บบูชาเป็นสิริมงคลชีวิตกันจำนวนมาก เช่น ร้านถ่ายภาพย่านท่าพระจันทร์ มีการอัดภาพถ่ายงานพระราชพิธี ขณะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จ ออกมาวางจำหน่ายในราคาต่างกัน เช่น ภาพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออกมหาสมาคม ณ มุขเด็จพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท เป็นภาพขนาด 8๚10 นิ้วบรรจุอยู่ในกรอบสีทอง สนนราคาภาพละ 200 บาท นอกจากนี้ ยังมีภาพขนาดโปสต์การ์ด ซึ่งเป็นภาพการจัดงาน ภายในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในมุมต่างๆ ในระหว่างทรงประกอบพระราชพิธี ช่วงเช้าของวันที่ 5 ธ.ค. รวมถึงภาพถ่ายของพระบรมวงศานุวงศ์ต่างๆโดยมีราคาขายอยู่ที่ภาพละ 10 บาท แต่หากต้องการอัดขยายใหญ่และไม่ใส่กรอบ จะมีราคาเพิ่มขึ้นเป็นรูปละ 80 บาท
ส่วนที่บริเวณตลาดท่าวังหลัง มีการนำภาพโปสต์การ์ดงานพระราชพิธีออกมหาสมาคม มาอัดเป็นภาพโปสต์การ์ด ขายในราคาภาพละ 10 บาท ทั้งยังมีการนำภาพพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในพระราชอิริยาบถต่างๆ ตั้งแต่สมัยทรงพระเยาว์ พระราชกรณียกิจ รวมถึงภาพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ระหว่างเสด็จเยี่ยมสมเด็จพระเจ้า พี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ออกมาอัดเป็นโปสต์การ์ด วางจำหน่ายควบคู่กันไปด้วย ได้รับความสนใจจากประชาชนไม่แพ้กัน
ทางด้านการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งที่ถนนราชดำเนิน กรุงเทพมหานครได้จัดซุ้มเฉลิมพระเกียรติ แบ่งเป็นซุ้มเกาะกลางถนน และซุ้มจัดนิทรรศการภายใต้แนวความคิด “ทรงเป็นแรงบันดาลใจ” และยังแจกคู่มือชมซุ้ม พร้อมพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ขนาดโปสต์การ์ดซุ้มละ 1 ภาพ ให้ประชาชนที่มาชมสะสมจนครบ 9 ภาพ ก็สามารถรับอัลบั้มเพื่อนำภาพที่รวบรวมได้ ไปติดเป็นอัลบั้มภาพมงคล โดยเริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. นั้น
นายพนิช วิกิตเศรษฐ์ รองผู้ว่าฯ กทม. เปิดเผยเมื่อวันที่ 6 ธ.ค.ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. เป็นต้นมา มีประชาชนนับแสนคนมาเที่ยวชมซุ้มเฉลิมพระเกียรติและไฟประดับตลอดแนวถนนราชดำเนิน มีลักษณะการเดินทางมาเป็นกลุ่มหลายๆ แบบ แต่ส่วนใหญ่จะมากับครอบครัว กลุ่มเพื่อนและประชาชนที่มาจากต่างจังหวัด เพื่อมาเที่ยวชมความงดงามและดูกิจกรรมบันเทิง ที่จัดแสดงตามจุดต่างๆ แต่สิ่งที่เป็นปรากฏการณ์พิเศษคือ ประชาชนนับพันคนเข้าแถวเพื่อขอรับพระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรวม 9 ภาพพร้อมอัลบั้ม ซึ่ง กทม. ได้จัดพิมพ์จำนวน 99,980 ชุด แจกจ่ายให้ประชาชนที่มาร่วมงาน โดยเฉพาะค่ำวันที่ 4 ธ.ค. และวันที่ 5 ธ.ค. มีประชาชนหอบลูกจูงหลาน เข้าคิวขอรับภาพยาวเหยียดเพราะทุกคนต่างต้องการเก็บไว้เป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว ซึ่งกรุงเทพมหานครได้แจกจ่ายภาพดังกล่าวไปแล้วราว 80,000 ชุด หรือ 720,000 ใบ ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องจัดพิมพ์เพิ่มเติมเพื่อแจกจ่ายให้ประชาชนอย่างทั่วถึง สำหรับประชาชนที่ต้องการเป็นเจ้าของอัลบั้มภาพดังกล่าวขอให้ไปติดต่อรับตั้งแต่เวลา 17.30 น. ที่ซุ้มหมายเลข 1-9 ริมถนนราชดำเนิน-สนามหลวง เมื่อรับครบทั้ง 9 ภาพแล้วขอให้แสดงให้เจ้าหน้าที่ดูเพื่อรับแจกอัลบั้มต่อไป
ด้านนายเริงศักดิ์ โหราเรือง ผอ.เขตพระนคร เปิดเผยว่า ช่วงเย็นทุกวัน จะมีประชาชนนับแสนคนเดินทางมาจากทั่วทุกสารทิศ เพื่อมาถ่ายภาพและชมความงดงามของซุ้มเฉลิมพระเกียรติยามค่ำคืน โดยเฉพาะเมื่อค่ำวันที่ 5 ธ.ค. ประชาชนเดินลงไปถ่ายรูปในถนนราชดำเนิน จนทำให้ถนนราชดำเนินเป็นถนนของคนสวมเสื้อเหลือง แม้แต่ฝรั่งที่มาพักย่านถนนข้าวสาร ถึงกับทึ่งในความจงรักภักดีของชาวไทย โดยจุดที่ประชาชนนิยมมาเที่ยวชมมากที่สุด คือรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ซึ่งเป็นจุดที่ติดตั้งน้ำพุดนตรี และมีความสวยงามจากดอกไม้นานาชนิด รองลงไปเป็นซุ้มช้างเอราวัณ บริเวณศาลหลักเมือง อย่างไรก็ตาม ในช่วงวันที่ 7-8 ธ.ค. คาดว่าจะมีประชาชนเดินทางมาดูความงดงามเป็นจำนวนมาก จึงอยากฝากให้เดินทางมาด้วยรถสาธารณะ มาลงที่สนามหลวงหรือสะพานผ่านฟ้า จากนั้นขอให้เดินเท้าเที่ยวชมไฟประดับ เป็นวิธีที่ดีที่สุดและยังถือเป็นการออกกำลังกายในตัว ไม่แนะนำให้ขับรถส่วนตัวชมความงามเพราะถนนเต็มไปด้วยคลื่นคน จนไม่มีที่เหลือให้รถวิ่ง
ที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี สำนักนายกรัฐมนตรีได้จัดนิทรรศการเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเปิดให้ประชาชนเข้าชมมาตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.นั้น จนถึงวันที่ 6 ธ.ค. ยังมีประชาชนเดินทางเข้าชมงานกันอย่างคึกคัก โดยพื้นที่การจัดแสดงนิทรรศการทั้ง 9 โถง แสดงถึงพระราชกรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงบำเพ็ญเพื่อพสกนิกรชาวไทยได้รับความสนใจจากทุกคนที่เข้าชม แต่ละโถงแสดงให้ได้รับรู้เรื่องราวแต่ละช่วงเวลาของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของคนไทย เสมือนได้เดินตามรอยพระบาท แต่ละคนที่ได้รับชมต่างรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อพสกนิกร โดยเฉพาะในโถงที่ 8 ซึ่งมีชื่อว่า “สถิตในดวงใจไทยทั้งผอง” นำเสนอถึงพระราชพิธีมหามงคล ฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ผ่านจอภาพ 360 องศา สร้างความซาบซึ้งให้กับทุกคนที่เข้าชม จนบางคนถึงกับน้ำตาไหล สำหรับยอดผู้เข้าชมงานถึงวันที่ 6 ธ.ค. มีจำนวน 9.4 แสนคน และจะยังเปิดให้ชมไปจนถึงวันที่ 10 ธ.ค. ตั้งแต่เวลา 09.00-20.00 น.
ส่วนกระแสพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงเน้นย้ำให้คนไทยทุกฝ่ายปรองดองสามัคคีกัน นั้น พล.อ.วินัย ภัททิยกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องนี้ว่า ประชาชนทุกหมู่เหล่าควรจะน้อมรับพระบรมราโชวาทเป็นแนวทางปฏิบัติต่อไป เมื่อถามว่า ขณะนี้สถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่งมีความเป็นไปได้หรือไม่ พล.อ.วินัยกล่าวว่า นักการเมืองก็คือคนไทยเช่นเดียวกัน ทุกคนรักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทุกคนก็จะต้องรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นไปตามแนวทางพระราชดำรัสหรือไม่
ด้านนายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในเรื่องความสามัคคีว่า เรื่องนี้พระองค์ท่านรับสั่งมาหลายครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พระองค์ทรงบอกว่า สถานการณ์บ้านเมืองไม่น่าไว้วางใจ คิดว่าเป็นเรื่องที่ทุกคนคงตระหนัก แต่ทั้งหมดทรงแนะนำเรื่องลดอคติ เรื่องความสามัคคี อย่างไรก็ตาม ในทางการเมือง ความเห็นที่ขัดแย้งหรือความเห็นที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องปกติธรรมดาที่มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่เรื่องการแตกความสามัคคีถือเป็นเรื่องใหญ่ จนเป็นเหตุผลที่คณะรัฐประหารนำมาใช้ เพราะหากทบทวนย้อนหลังไปดูจะเห็นว่าสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง คือเราไม่ปฏิบัติอะไรไปตามทำนองคลองธรรม หรือเลือกปฏิบัติกับประชาชน หรือไม่มีความเป็นธรรมกับคนในองค์กรต่างๆ ถือเป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทำให้เกิดความขัดแย้งแตกแยก ดังนั้น จึงคิดว่าพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีความหมายไปทุกกลุ่มทุกภารกิจหน้าที่ ที่ต้องตระหนักว่า แต่ละคนมีหน้าที่อย่างไร และมีความเป็นธรรมในหน้าที่นั้นๆ ไม่ใช่ เฉพาะฝ่ายการเมือง
วันเดียวกัน ที่สนามบินดอนเมือง นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ให้สัมภาษณ์ก่อนเดินทางไปปราศรัยที่ อ.เดชอุดม จ.อุบลราชธานี ถึงกรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานพระราชดำรัสแก่ประชาชน ในวันที่ 5 ธ.ค.ว่า พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัว อยู่ในใจอยู่แล้ว ไม่อยากให้นำมาวิพากษ์วิจารณ์กัน ที่พระองค์พระราชทานเรื่องความปรองดองนั้น เป็นแนวทางของพรรคพลังประชาชน แต่การรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ในทางการเมืองที่ต้องมีการชี้แจงใครฟัดใครเป็นเรื่องบนเวทีปราศรัย ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้ แต่สิ่งที่ฟังแล้วรู้สึกดีใจจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือรู้ว่าต้องมีรัฐบาลใหม่

No comments: